วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

7 ประโยชน์ดี ๆ ของการตื่นเช้า ที่คุณอาจคาดไม่ถึง !



     การตื่นเช้าดีอย่างไร เราจะได้ประโยชน์อะไรจากการตื่นเช้าเป็นประจำบ้าง เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้กันคร่าว ๆ บ้างแล้ว แต่วันนี้ขอย้ำให้คุณ ๆ รู้ชัด ๆ อีกทีค่ะ
                
              เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมบางคนถึงชอบนอนดึก ตื่นสาย แต่กับบางคนก็มักจะนอนตั้งแต่หัวค่ำ และสะดุ้งตื่นตอนเช้าเป็นประจำ นั่นก็เพราะว่า ในร่างกายของเรานั้นมีนาฬิกาชีวิตซ่อนอยู่ และนาฬิกาชีวิตที่ว่านี่ล่ะค่ะ ที่เป็นตัวกำหนดให้ร่างกายมีจังหวะเวลาสำหรับทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเวลาไม่เท่ากัน บ้างมีมากกว่า 24 ชั่วโมง หรือบางคนอาจจะมีน้อยกว่า 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน เป็นเหตุให้เวลานอนหลับ เวลาตื่น เวลาทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป 

              และไม่ใช่แค่กิจวัตรประจำวันเท่านั้นนะคะที่ไม่เหมือนกัน แต่ผลวิจัยจากหลายสถาบันที่เว็บไซต์ Huffington Post เขานำมาบอกต่อ ก็ยังบอกอีกด้วยว่า คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะได้ประโยชน์ดี ๆ ในชีวิตอีกตั้ง 7 ข้อ ซึ่งคนนอนดึกตื่นสายไม่มีเอี่ยวในเรื่องดี ๆ เหล่านี้เลยสักนิดจ้า
     

     1. คนตื่นเช้ามีแนวโน้มแฮปปี้มากกว่า
                
              มีการวิจัยที่สามารถตั้งเป็นข้อสังเกตได้ว่า คนที่ตื่นเช้า (ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุไหนก็ตาม) มีแนวโน้มจะอารมณ์ดี มีความสุขมากกว่าคนที่นอนดึกตื่นสาย ด้วยคำอธิบายที่ว่า ระยะเวลาตั้งแต่ 9.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปสำหรับคนที่นอนดึก ร่างกายของคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะไม่สามารถคงความตื่นตัว และกระปรี้กระเปร่าได้ไหว ผิดกับคนที่เข้านอนเร็ว และตื่นเช้าเสมอ บุคคลกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตในช่วงเวลา 9.00-17.00 น. ได้อย่างรื่นเริง และเต็มประสิทธิภาพมากกว่าเยอะเลยล่ะค่ะ



        2. ผลการเรียน และคุณภาพของงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
                  
                จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัสแสดงให้เห็นว่า เด็กนักเรียนอาสาสมัครกลุ่มที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะสามารถทำแบบทดสอบและมีผลการเรียนที่กระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากนักเรียนกลุ่มที่นอนดึกตื่นสาย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็อธิบายง่าย ๆ เลยว่า ร่างกาย และสมองของเราต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อการทำงานที่เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นคนที่นอนเร็ว ตื่นเช้า (นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ตามระบบนาฬิกาชีวิตในร่างกาย) จึงมีสมองและร่างกายที่พร้อมรับข้อมูลข่าวสาร และสามารถประมวลผลได้ดีกว่าคนที่นอนหลับไม่พอนั่นเอง


       3. รู้สึกตัวตื่นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก
                   
                  กิจวัตรประจำวันของหลายคนอาจจะเป็นการกดปุ่มเลื่อนเวลาปลุกของนาฬิกาใช่ไหมคะ ซึ่งเหตุการณ์ต่อมาก็คงไม่พ้นตื่นสาย ต้องรีบร้อนอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน หรือทำงาน แถมพลาดอาหารเช้ามื้อสำคัญเป็นประจำ เป็นสัญญาณสุขภาพที่ไม่ดีเลยจริง ๆ  แต่ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรมมานอนให้เร็วขึ้น ตื่นให้เช้ากว่าเดิมจนเคยชิน เช้าวันไหน ๆ ก็ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกให้แสบหูอีกเลยล่ะ นอกจากนี้คุณก็จะรู้สึกมีพลัง กระฉับกระเฉงขึ้นด้วยจ้า


           4. สมองปลอดโปร่ง พร้อมรับทุกสถานการณ์
                    
                  ในขณะที่คนขี้เซานอนคลุมโปงหลบแสงอาทิตย์อยู่บนเตียง คนที่ตื่นเช้ามักจะได้เริ่มต้นกิจวัตรประจำวัน พร้อมทั้งทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปได้หลายรายการแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่า คนที่ตื่นเช้าได้กำไรชีวิตมากกว่าเห็น ๆ แถมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังแอบกระซิบมาด้วยนะ ว่าคนที่ตื่นมารับอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้า จะมีสมองที่ปลอดโปร่ง เพราะร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่ อีกทั้งยังมีเวลาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนนอนตื่นสายตั้งเยอะ
         

          5. พัฒนาทัศนคติด้านดี
                    
                  มีผลงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติกลุ่มอาสาสมัครที่ตื่นเช้า โดยนักวิจัยพบว่า คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะมีสมองที่พร้อมประมวลข้อมูลอย่างเต็มที่มากกว่า รวมทั้งความกระฉับกระเฉง และความกระตือรือร้นต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะกระเตื้องขึ้นด้วย เป็นผลให้สามารถแก้ไขปัญหาที่พบเจอได้อย่างชาญฉลาด สุขุม และมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งรุมเร้ามากขึ้นอีกด้วย 


         6. ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า
                  
                ผลการศึกษา และการวิจัยของหลายสถาบันบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่เข้านอนเร็ว และตื่นเช้าจะมีอัตราความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าน้อยมากถึงมากที่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ระบบต่าง ๆ ทำงานตามรอบเวลาที่นาฬิกาชีวิตกำหนดมา สุขภาพก็จะแข็งแรง และพอไม่เจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย คราวนี้โรคซึมเศร้าก็คงไม่ได้แอ้มเราง่าย ๆ แน่
       

       7. ชีวิตโดยรวมจะดีขึ้นมาก
                  
                งานวิจัยเล็ก ๆ ในปี 2013 ชิ้นหนึ่งได้แสดงผลการศึกษาไว้ว่า คนที่เข้านอนเร็ว จะหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุ (อบายมุข และสถานที่อโคจรยามค่ำคืน) ไปได้โดยปริยาย แถมยังมีเวลาทำสิ่งดี ๆ ในตอนเช้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายในตอนเช้า รับประทานอาหารเช้ากับเมนูเพื่อสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบกว่าที่เคย ไม่ต้องเร่งรีบ และมีเวลาชีวิตที่มากขึ้นอีกด้วยค่ะ

       
                จริง ๆ แล้วถึงไม่มีงานวิจัย หรือผู้เชี่ยวชาญคนไหนมาบอก เราก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การตื่นเช้าให้อะไรเราได้มากมายเกินกว่าที่จะนับได้ถ้วน อย่างน้อย ๆ เราก็ได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามเป็นประจำทุกวัน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้สัมผัสน้ำค้างบนยอดหญ้า ที่สำคัญได้เห็นถนนโล่ง ๆ และการจราจรที่ไม่ติดขัดอย่างตอนสายด้วยเนอะ

ที่มา http://health.kapook.com/view86531.html

เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม ไม่ช่วยดับกลิ่นปากหรอกนะ




                ใครที่ชอบหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยว หรือพกลูกอมรสหวาน ๆ ไว้อมเพลิน ๆ หวังจะช่วยดับกลิ่นปากได้ล่ะก็ ขอบอกว่ากำลังเข้าใจผิดอยู่นะจ๊ะ เพราะจริง ๆ แล้ว หมากฝรั่งและลูกอมสามารถช่วยกลบกลิ่นปากได้ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่เราอาจเจอปัญหาสุขภาพจากขนมเหล่านี้มากกว่าซะอีก

              โดยกรมอนามัย ให้ข้อมูลว่า การทานลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อย ๆ อาจทำให้ได้รับอันตรายจากสารสังเคราะห์ที่เป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่งและลูกอมมากเกินไป เช่น สารกันเสีย (PBA) และสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลเอสปาร์แตม (aspartame) ถ้าทานมากเกินกว่า 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดมะเร็งและอันตรายต่อสมองได้ รวมทั้งสารที่ให้รสชาติเหมือนน้ำตาลจริงและให้พลังงานต่ำ เช่น ซูคลาโลส หากได้รับ มากเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน จะเป็นอันตรายต่อต่อมไทรอยด์ ตับ และไต ได้เช่นกัน


              เพราะฉะนั้น ถ้าอยากระงับกลิ่นปากไม่ให้คนรอบข้างเมินหน้าหนีไปไหน ก็หันมาดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากดีกว่า โดยใช้สูตร 222 คือ แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เช้าและก่อนนอน แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที เพื่อให้สะอาดทั่วทั้งปากทุกซี่ ทุกด้าน และให้ฟลูออไรด์ได้ใช้เวลาทำปฏิกิริยากับฟันเพื่อป้องกันฟันผุอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปล่อยให้ปากสะอาดไม่กินขนมหวาน น้ำอัดลมหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง
              นอกจากนี้ ควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันวันละครั้ง และขณะแปรงฟันก็ควรแปรงลิ้นด้วยจะช่วยลดกลิ่นปากได้ดี รวมทั้งการจิบน้ำเปล่าบ่อย ๆ ก็จะช่วยรักษาสุขภาพกายและคงความสดชื่นของปากได้ แต่ถ้ามีเหงือกอักเสบ หินปูน หรือฟันผุ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที

              แต่ถ้าอยากทดสอบว่าตัวเองมีกลิ่นปากหรือไม่ ก็แนะนำให้เราลองใช้มือปิดปากและจมูก แล้วเป่าลมแรง ๆ ออกจากปาก หรือใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู เมื่อทดสอบดูแล้วพบว่ามีกลิ่นปากก็สามารถป้องกันได้ตามสาเหตุ เช่น หากมีฟันผุเป็นรูควรไปรักษาด้วยการอุดฟัน และหมั่นดูแลทำความสะอาดในช่องปากด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธี โดยเฉพาะเด็ก ๆ เพื่อลดปัญหาฟันผุซึ่งนำไปสู่การสูญเสียฟันที่อาจสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากในวัยสูงอายุตามมาได้ 



    ที่มา http://health.kapook.com/view88751.html

ดื่มน้ำอย่างไรให้ได้ประโยชน์



        "น้ำ" สามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% (แต่ต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ต้องใช้ระยะเวลานะคะ) ตังอย่างเช่น อาการปวดหัว อาการปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่าง ๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก
 
          เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่าางกายมากถึง 70% คุณทราบไหมค่ะว่าการดื่มน้ำการดื่มน้ำเวลาไหนถึงจะให้ประโยชน์สูงสุด ถ้าใครยังไม่ทราบวันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ



     1. การดื่มน้ำที่ถูกต้องไม่ใช่ดื่มกันวันละ 8-10 แก้วให้หมดในคราวเดี๋ยวเลยน่ะค่ะแต่เราควรค่อยๆดื่ม ดื่มตอนไหนเวิร์กสุด
 
     2. เวลาตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว (400ซีซี) เพราะเป็นช่วงที่เลือดมีความเข้มข้นสูงเลือดมีลักษณะขาดน้ำนั่นเอง

     3. เวลา 09.00-10.00น. ดื่ม  2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่ร่างกายมีของสียเกิดขึ้นจึงควรดื่มน้ำมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป

     4. เวลา 13.00-14.00น. ดื่ม  3 แก้ว เป็นเพราะช่วงนี้เป็นภาวะขาดน้ำจะทำให้รู้สึกง่วงนอนหากดื่มช่วงเวลานี้จะทำให้เราสดชื้นและมีความคิดที่ดี
 
     5. เวลา 19.00-20.00น. ดื่ม 3 แก้ว 
 
     6. ก่อนนอนต้องดื่มอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชำระล้างางสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหารยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นแล้วจะยิ่งทำให้เราหลับสบายขึ้นอีกด้วย


          จะเห็นได้ว่าการดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกายทำได้ง่ายนิดเดียว  เราจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อย  วันละ 8-10 แก้ว   นอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้วยังช่วยให้ผิวสวยไม่แห้งตึงอีกด้วย



ที่มา http://www.mcot.net/site/content?id=5268cab3150ba08c1100006c#.U5KKFfmSxfA

นมผึ้ง สรรพคุณประโยชน์ของนมผึ้ง 22 ข้อ สุดยอดยาอายุวัฒนะ !


        นมผึ้ง (Royal Jelly) เป็นอาหารสำคัญสำหรับผึ้งนางพญา เพราะช่วยในการเร่งการเจริญเติบโตส่งผลให้ผึ้งนางพญาจะมีรูปร่างใหญ่โตและสวยกว่าผึ้งตัวอื่นๆ และที่สำคัญยังช่วยให้ผึ้งนางพญามีอายุยืนมากกว่าผึ้งงานถึง 20 เท่า!! และยังช่วยให้ผึ้งนางพญาสามารถวางไข่เพื่อสืบพันธุ์ได้ประมาณ 2,500 ฟองต่อวันตลอดจนสิ้นอายุขัย โดยนมผึ้งนั้นผลิตมาจากผึ้งงานด้วยการขับออกมาจากต่อมไฮโปฟาริงค์และจากต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณส่วนหัวของผึ้งงาน
สำหรับนมผึ้ง ที่ผลิตได้ต่อรังนั้นจะมีปริมาณน้อยมากๆ โดย 1 รังจะสามารถผลิตนมผึ้งได้เพียงวันละ 2-3 กรัมเท่านั้น และลักษณะทางกายภาพของนมผึ้งนั้นจริงๆแล้วจะเป็นของเหลวข้น มีสีเหลืองอ่อนออกครีม มีกลิ่นฉุน รสชาติเปรี้ยวและค่อนข้างจะเผ็ดด้วยเล็กน้อย ซึ่งวิธีการเก็บรักษานั้นควรเก็บในอุณหภูมิห้องหรือในอุณหภูมิเย็นประมาณ 3-8 องศาและสำหรับส่วนประกอบหลักในนมผึ้งนั้นจะมี น้ำ น้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน กรดอะมิโน แร่ธาตุต่างๆ สารชีวโมเลกุล ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก นมผึ้ง ในรูปของอาหารเสริม มีจำหน่ายทั่วไปในรูปของแคปซูลและแบบซอฟเจล โดยจะมีปริมาณของนมผึ้งประมาณ 1,000 mg. สำหรับขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันประมาณ 300-500 mg. และในกรณีเร่งด่วนให้รับประทานวันละ 1,000 mg.โดยผู้ที่แพ้ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง เช่น น้ำผึ้ง ไขผึ้ง ไม่ควรรับประทานเพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้อีกเช่นกัน


ประโยชน์ของนมผึ้ง

  1. เป็นยาอายุวัฒะที่อัศจรรย์ด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการชะลอวัยและมีสุขภาพแข็งแรง
  2. นมผึ้งเป็นแหล่งของสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์มาก และมนุษย์ก็จำเป็นต้องรับประทานเช่นกัน
  3. มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยลดปัญหาของสิวผ้า กระ ได้
  4. ช่วยในการรักษาหวัด และหอบหืด
  5. ช่วยในการเจริญอาหาร
  6. ช่วยในการเจริญเติบโตของสมองและร่างกาย
  7. ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน และชะลอการเกิดริ้วได้
  8. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และช่วยขจัดไขมันที่ตกค้างในตับ
  9. ช่วยลดความดันโลหิตและการขยายตัวของหลอดเลือดได้
  10. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  11. ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง
  12. ช่วยในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น
  13. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
  14. ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารและมีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีมากขึ้น
  15. ช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดีขึ้น มีผลทำให้ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก
  16. ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพแข็งแรง
  17. มีส่วนช่วยบรรเทาอาการเครียด และช่วยต่อต้านความเครียด
  18. ช่วยต่อต้านสารกัมมันตรังสี และช่วยยับยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็งในร่างกาย
  19. ผู้ป่วยมะเร็งในระยะแพร่กระจาย เมื่อรับประทานนมผึ้งจะช่วยลดการอักเสบของก้อนมะเร็งได้
  20. ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อดื้อยาต่างๆได้หลายชนิด
  21. ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราบริเวณผิวหนังได้ดี
  22. ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างการทำงานและปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง
แหล่งอ้างอิง : หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์)
ที่มา http://frynn.com/%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87/

10 ข้อดีของการนอนเร็ว รู้แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมด่วน


    อดนอน นอนดึก ทำร้ายสุขภาพสุด ๆ แต่ถ้าเปลี่ยนมานอนให้เร็วขึ้น คุณจะได้รับประโยชน์เพียบ นี่ล่ะของขวัญจากธรรมชาติ

                โดย นพ.กฤษดา เล่าให้ฟังถึงผลเสียของการนอนดึกว่า ทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมเร็วขึ้น ทั้ง สมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ และภูมิคุ้มกันร่างกาย แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ตั้งแต่ 4 ทุ่มเป็นต้นไปจนถึงก่อนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นนาทีทอง ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 10 ประการ แบบนี้เลย

    1. สมองสร้างเคมีสุข  

                อย่างที่รู้ว่า สมองเป็นหัวเรือใหญ่ในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังมอบรางวัลให้ร่างกาย ทั้ง เคมีนิทรา (เมลาโทนิน), เคมีสุข (ซีโรโทนิน) และฮอร์โมนเพศ แถมยังมีเคมีบำรุงออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยได้ด้วย 

    2. สร้างเคมีหนุ่มสาว  

                ปกติแล้ว เคมีหนุ่มสาวที่เรียกว่า "โกรทฮอร์โมน" จะค่อย ๆ ลดลงตามวัย รวมทั้งการนอนดึกก็ทำให้โกรทฮอร์โมนน้อยลงไปด้วย แต่ถ้าเราเข้านอนเร็ว สักราว 4 ทุ่ม สมองจะช่วยผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ สรุปว่ายิ่งเราหลับไว หลับสนิท เราก็ยิ่งดูอ่อนเยาว์นะ

    3. ความจำดีขึ้น 

                การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำ, สมาธิและอุบัติเหตุมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง ดังนั้น ต้องนอนให้เต็มอิ่มจะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ ๆ   

    4. คุมความดันโลหิตได้ 

                การนอนหลับเร็วจะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีวิวิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อน ช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน 

    5. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ

                คนก็เหมือนเครื่องยนต์ ทำงานมาหนักก็ต้องหยุดพักบ้างจริงไหม ซึ่งการนอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมรถ ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลายตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง 

    6. ลดความเสี่ยงโรคอ้วน

                ทำไมนะหรือ? ก็เพราะถ้าเรานอนเร็วจะทำให้เราไม่หิวกลางดึกจนกินดุตามมาไงล่ะ นอกจากนั้น ยังมีกลไกดับหิวด้วยการสร้างเคมีดับหิวขึ้นมา ทำให้การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาในร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย

    7. มีความสุขง่ายขึ้น


                ยิ่งอดนอนสมองของเราก็ยิ่งอึมครึม ทำให้ขาดสมาธิ ความจำก็ไม่ดี อะไรมากระทบนิดกระทบหน่อยก็หงุดหงิดอารมณ์เสียแล้ว แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ แต่ถ้าเราลองนอนให้เร็วขึ้น เราจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมองได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะรก็มีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะ

    8. ได้ล้างพิษ  

                เวลาที่เรานอนจะเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น ลองสังเกตดูสิ ถ้าใครชอบอดนอน หรือนอนดึก นอกจากหน้าตาดูหม่นหมองแล้ว ยังมีปัญหาท้องผูกด้วย นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึก เพราะฉะนั้น สาว ๆ ที่ชอบปวดรอบเดือนบ่อย ๆ ให้นอนให้เร็วขึ้น จะช่วยคุมเคมีปวดได้มาก

    9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ  

                เครื่องยนต์ที่ทำงานเกินเวลาก็เสียได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่ไม่ยอมพักผ่อน ไม่ยอมหลับยอมนอน ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียก็อาจทำให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ พากันแผลงฤทธิ์ขึ้นได้ โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้า และโรคมะเร็ง

    10. ช่วยป้องกันแก่  

                ไม่อยากแก่รีบชวนกันนอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะแค่นอนก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาว และช่วยให้สนิททั้งหลายไม่ทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร จึงป้องกันความเสื่อมชราได้ด้วย

          

    ที่มา http://health.kapook.com/view89224.html

เลิกบุหรี่ให้เห็นผล อาหาร ช่วยได้


    เลิกบุหรี่ให้เห็นผล อาหาร ช่วยได้ (สสส.)
    เรื่องโดย : ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th

              ใช่เพียงแต่ว่าการเลือกกินอาหารดี จะช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น รู้หรือไม่ว่า การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถ "เลิกสูบบุหรี่" ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

              ทั้งนี้ ผลวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2550 ในวารสารงานวิจัยนิโคตินและยาสูบระบุว่า การกินผักและผลไม้จะช่วยให้รสชาติของบุหรี่แย่ลง ส่งผลให้ผู้สูบไม่ติดใจในรสของการสูบบุหรี่เช่นเดิม และในปี 2554 นักวิจัยสาขาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัฟฟาโล มหาวิทยาลัยของรัฐชื่อดังในระบบมหานครนิวยอร์ก ได้เผยผลวิจัยใหม่เพิ่มเติมจากการสุ่มสำรวจสิงห์อมควันทางโทรศัพท์ 1,000 คน อายุ 25 ปีขึ้นไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาว่า หากคุณเป็นคนหนึ่งที่พยายามจะเลิกสูบบุหรี่ การกินผลไม้และผักเพิ่มมากขึ้น จะช่วยให้คุณเลิกสูบบุหรี่ได้นานขึ้น โดยงานวิจัยชิ้นนี้ให้ข้อมูลว่า คนที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างน้อย 6 เดือน พวกเขามีพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ในแต่ละมื้อมากขึ้นกว่าคนที่ยังสูบบุหรี่
      
              วันนี้ ผศ.ดร.ชนิดา ปโชติการ อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนาการเพื่อการป้องกันและบำบัด สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล มีคำแนะนำถึงการเลือกรับประทานอาหารมาฝากให้สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ได้นำไปใช้กัน
              
              โดยอาจารย์ให้ความเห็นว่า การควบคุมอาหารมีความจำเป็นมากในผู้สูบบุหรี่ เนื่องจากนิสัยของผู้สูบ จะมีความรู้สึกอยากเคี้ยว หรืออยากให้ในปากมีอะไรตลอดเวลา ฉะนั้นหากไม่ดูแลอาหารการกินให้ดี ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้ผู้สูบ ไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ ยังทำให้ผู้สูบมีภาวะอ้วนจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นด้วย

              "อาหารจะช่วยให้ผู้สูบมีต่อมรับรสต่อรสชาติของบุหรี่เสียไป สูบแล้วไม่รู้สึกอร่อยเหมือนเคย ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่เอื้อต่อการเลิกบุหรี่ จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูบสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้มากกว่าคนที่ไม่คุมอาหารการกิน" ผศ.ดร.ชนิดา เกริ่นถึงความสำคัญของอาหาร พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ฟังว่า 

              "แม้ในใบขี้เหล็กจะมีสารที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น แต่หากกินมากเกินไป อันตรายจากกะทิและความหวานของแกงขี้เหล็กก็รอทำร้ายสุขภาพให้ผู้สูบอ้วนขึ้น ฉะนั้น ผู้สูบบุหรี่ที่ต้องการจะเลิกสูบ จึงควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้สูบนอนหลับดีขึ้นเท่านั้น ยังช่วยให้ร่างกายหลั่งสารดี ๆ อย่างเอ็นดอร์ฟินที่ช่วยให้รู้สึกมีความสุขออกมาด้วย ซึ่งแตกต่างจากการได้รับสารที่ช่วยให้รู้สึกมีความสุข จากการกระตุ้นของ "นิโคติน" สารพิษที่มีแต่ให้โทษแก่ร่างกาย"

    ผักผลไม้ ลดความอยากบุหรี่
             
              อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนาการเพื่อการป้องกันและบำบัด ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ขณะเลิกสูบบุหรี่ผักผลไม้เป็นอันดับหนึ่งที่ควรจะเลือกกิน เพราะผักและไม้จะทำให้ผู้สูบบุหรี่ รู้สึกขมปาก ฉะนั้นในช่วงอดบุหรี่แต่ละมื้อ 1 จานข้าว ควรจะมีผักประมาณครึ่งหนึ่งของจาน จากนั้นมีผลไม้จานเล็กสักประมาณ 7-8 ชิ้นคำ หรือผลไม้ลูกเล็กสักประมาณ 4-5 ลูก เลือกกินข้าวซ้อมมือที่มีใยอาหารมาก น้ำตาลน้อย ก็จะช่วยให้อิ่มท้องนาน ไม่อยากสูบบุหรี่  


    หวาน มัน เค็ม และเนื้อแดง ตัดทิ้ง
              
              ไม่เพียงรสชาติหวาน มัน เค็ม ของผู้สูบจะไปกระตุ้นการสูบบุหรี่มากขึ้น แต่ "เนื้อสัตว์สีแดง" ทั้งหลาย ก็เคยมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า หากเลือกกินมากไป ก็จะไปกระตุ้นให้ร่างกายมีความอยากสูบบุหรี่มากขึ้น ขณะที่เนื้อปลา เนื้อไก่สีขาว จะไม่เพิ่มความอยากในการสูบบุหรี่ จึงเหมาะสมในการเลือกรับประทานในช่วงเลิกสูบบุหรี่มากกว่า




      ชา/กาแฟ เลิกบุหรี่ไม่ควรดื่ม ดื่มน้ำเปล่าดีกว่า
              
                เพราะคาเฟอีนจากทั้งในชาสีเข้มและกาแฟ จะส่งผลให้การสูบบุหรี่มีรสชาติดีขึ้น อร่อยขึ้น ยิ่งดื่มมาก จึงมีโอกาสที่จะทำให้ผู้สูบ สูบบุหรี่ได้ง่ายมากขึ้น ช่วงเวลานี้ จึงควรดื่มหรือน้ำเย็น และเลือกดื่มน้ำผลไม้ทดแทนจะดีกว่า


      วิตามินซี ลดความหงุดหงิด เสริมภูมิคุ้มกัน
                 
                อ.นักโภชนาการผู้เอื้ออารี ยังบอกด้วยอีกว่า การกินอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนจะช่วยให้ไม่อยากสูบบุหรี่ ฉะนั้นเวลาที่ต้องการจะสูบ จึงควรมีมะนาวตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้ผลัดกันอมกับกานพลู ที่มีสารช่วยลดอาการหงุดหงิดและความอยากสูบบุหรี่ในผู้สูบลง โดยเฉพาะการเคี้ยวกานพลู มีงานวิจัยพบว่า จะช่วยให้สามารถเลิกบุหรี่ได้ถึงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคี้ยวกานพลู ที่สามารถเลิกบุหรี่ได้เพียงร้อยละ 12
                 
                นอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้ว ความตั้งใจจริงและกำลังใจจากคนรักคนรอบข้างของผู้สูบก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย ดังนั้น หากคนใกล้ตัวคุณกำลังเลิกสูบบุหรี่ แล้วมีอาการหงุดหงิดใส่บ้างเป็นครั้งคราว อย่าลืมใจเย็น และสร้างบรรยากาศของความสบายใจที่จะเอื้อให้ผู้สูบ "เลิกสูบบุหรี่" ได้จริงนะคะ

      ที่มา http://health.kapook.com/view89991.html

สวยด้วยมะเขือเทศ

          เรื่องความสวยความงามเดี๋ยวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะสาว ๆ แล้วจริงไหมคะ หนุ่ม ๆ หลายคนเองก็อยากจะดูดี ดูหล่อ เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของผิว เชื่อว่าทุกคนคงยากมีผิวหน้าที่สวยเด้งสุขภาพดีกันทั้งนั้น วันนี้เราเลยนำสูตรดูแลผิวหน้าด้วยมะเขือเทศมาฝากกันค่ะ


       เราคงเคยได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าถ้าอยากผิวสวยให้ทานมะเขือเทศสด หรือดื่มน้ำมะเขือเทศ  แต่ทำไมต้องมะเขือเทศ ? ก็เพราะว่าในมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ที่ช่วยป้องกันเซลล์ผิวจากการทำร้ายของแสง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามิน B1 B2 วิตามินเค รวมทั้งสารอาหารต่าง ๆ อย่าง โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ด้วย เอาเป็นว่าตอนนี้เราไปดูสูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศกันเลยดีกว่าค่ะ

สูตรกระชับรูขุมขน
       สูตรแรกใช้น้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้วางบนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น หรือจะลองสูตรที่สองดูก็ได้นะคะ โดยใช้น้ำมะเขือเทศสดผสมกับน้ำแตงกวา แล้วใช้สำลีทาให้ทั่วใบหน้า จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นพอสมควร

สูตรรักษาสิว
       สำหรับสูตรนี้ ใช้มะเขือเทศสดบดแล้วทาให้ทั่วใบหน้า โดยทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเกือบเย็น ทำวิธีนี้ทุกวันอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ก็จะเห็นผลค่ะ
อีกสูตรคือนำมะเขือเทศผ่าครึ่ง มาถูให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวหัวดำ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออก จะช่วยกระชับรูขุมขนและลดความมันส่วนเกินได้ด้วย

สูตรพอกหน้าเพิ่มความเปล่งปลั่ง
      นำมะเขือเทศสดมาปั่นให้ละเอียด หรือถ้าไม่มีเครื่องปั่นจะคั้นสด ๆ ก็ได้นะคะ จากนั้นนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทำให้ใบหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้นทันตาเลยล่ะ

       แต่ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอ่านสูตรแล้วรู้สึกว่าไม่มีเวลา หรือ รู้สึกว่าขี้เกียจทำเองแล้วละก็ ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศมาใช้แทนก็ได้ รับรองว่าผิวจะสวยขึ้นอย่างแน่นอน 

ที่มา http://www.sharp-weeclub.com/blog/blog-detail.aspx?id=4&bid=80

มหัศจรรย์จากผักและผลไม้

             ผักและผลไม้ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะผักจะให้สารอาหารที่ต้านความชรา ความเสื่อมอย่างได้ผลยิ่ง เป็นพืชผักสีเขียวเข้ม สีส้ม สีเหลืองซึ่งเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนป้องกันโรคได้ และยังสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายอีก ส่วนผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวให้พลังงานต่ำแต่มีวิตามินสูง เพิ่มความสดชื่น ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของสมองแล้ว เช่น ส้ม แอปเปิ้ล มะม่วง ฝรั่ง เป็นต้น

  
            วัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า อาการน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการรับประทานผักผลไม้แค่ 1 ใน 3 ของมื้ออาหาร ซ้ำร้ายยังขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้เกิดภาวะโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิต มีคนไทยเพียง 1 ใน 3 ที่กินผักได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และยิ่งอายุมากขึ้นกลับมีระดับการบริโภคผักและผลไม้ยิ่งลดลง

            สำหรับมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคผัก คือ 3 หน่วยมาตรฐาน (1 หน่วยมาตรฐาน = 80 กรัม) ส่วนผลไม้ควรบริโภคอย่างน้อย 2 หน่วยมาตรฐาน ฉะนั้น ควรกินผักวันละประมาณ 240 กรัม และกินผลไม้อย่างน้อยวันละ 160 กรัม (รวม 4 ขีด)
ในส่วนมาตรฐานที่เหมาะสมของการบริโภคผักใน 1 วัน มีดังนี้ หากเป็นผักสดหรือประเภทสลัดเทียบเท่าปริมาณ 3 ถ้วยตวง ส่วนผักที่มีการปรุงแล้ว เช่น ผัดผัก ผักต้ม ต้องบริโภควันละ 1 ถ้วยครึ่ง โดยการบริโภคผักอาจจะมีอยู่ในทุกมื้ออาหาร

           ส่วนการบริโภคผลไม้ของคนไทยอาจไม่ได้บริโภคทุกมื้อ โดยมากอาจจะบริโภคมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น เนื่องจากมีเวลาและสะดวกในการหาซื้อผลไม้ได้ ซึ่งมาตรฐานของการบริโภคผลไม้ใน 1 มื้อ เทียบได้ดังนี้ กล้วยน้ำว้า 1 ลูก, ส้มเขียวหวาน 1 ลูกใหญ่, เงาะ 4 ลูก เป็นต้น
คำแนะนำของกองโภชนาการแนะนำให้เด็กกินผัก 12 ช้อนต่อวัน ผู้ใหญ่ควรจะกิน 24 ช้อนต่อวัน แต่ในปัจจุบันสำรวจว่าผู้ใหญ่ไทยกินเพียง 2 ช้อนครึ่ง ส่วนเด็กๆ กินไม่ถึง 1 ช้อน จึงน่าเป็นห่วงสำหรับเด็กไทยในยุคนี้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งสูง
มหัศจรรย์พลังผักและผลไม้
  1. การกินผักและผลไม้เป็นประจำเป็นการสร้างภูมิต้านทาน ทำให้เจ็บป่วยน้อยกว่าคนไม่กินผักผลไม้เลย หรือเมื่อเจ็บป่วยร่างกายจะมีการฟื้นฟูหรือปรับสภาพได้เร็วกว่าคนไม่กินผัก ซึ่งเป็นงานวิจัยขององค์การอนามัยโลกที่ชี้ชัด ผักผลไม้มีวิตามินแร่ธาตุไปสร้างภูมิคุ้มกันโรค
  2. ในผักผลไม้มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง มะเร็งเกิดจากเซลล์ของร่างกายผิดปกติ พักผ่อนไม่พอ ไม่กินผัก อารมณ์หงุดหงิด กินอาหารมันเกินไป ไม่เล่นกีฬา ไม่ออกกำลังกาย อนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เซลล์ตายกลายเป็นเซลล์มะเร็ง นั่นคือผักและผลไม้จะมีวิตามินซีและเบตาแคโรทีน วิตามินซีกินเข้าไปแล้วก็จะต้านการเกิดอนุมูลอิสระ คนที่กินผักเป็นประจำจึงมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิดน้อยกว่าคนไม่กินผักและผลไม้
  3. ในผักและผลไม้มีไฟเบอร์เสริมสร้างใยอาหาร มะเขือเทศสีส้ม ไม่ใช่เพียงเฉพาะมีเบตาแคโรทีนเท่านั้น แต่มีใยอาหารหรือไฟเบอร์ ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายในน้ำมหัศจรรย์มาก กินเข้าไปปุ๊บวิตามินซี วิตามินเอ เบตาแคโรทีน แคลเซียม จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และร่างกายนำไปใช้ให้กระดูกแข็งแรงขึ้นช่วยป้องกันโรค

ที่มา  http://www.sappe.com/sappe/beautylounge/beautylounge05.html

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

20 เคล็ดลับไดเอตอย่างถูกวิธีที่สาว ๆ ควรรู้

              สาว ๆ ทุกคนย่อมอยากมีรูปร่างผอมเพรียว เพื่อให้ตัวเองดูสวยมั่นใจไม่ว่าจะใส่ชุดไหนด้วยกันทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้อย่างที่ใจคิด เพราะการมีหุ่นสวยนั้น ต้องแลกกับการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตัวเองอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี ซึ่งอาจไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้วิธีการไดเอตอย่างถูกต้องเพื่อรูปร่างที่ดี มีวิธีดังนี้

              1. การอดอาหารเป็นวิธีที่ไม่สามารถทำให้ผอมในระยะยาวได้ แถมยังเป็นอันตรายกับสุขภาพอีกด้วย เพราะฉะนั้นควรทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
     
              2. เน้นการรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ เพราะช่วยให้อิ่มท้องและไม่ทำให้น้ำหนักของคุณพุ่งพรวด 
     
              3. ทานอาหารมื้อเล็ก ๆ 5 มื้อต่อวัน คุณจะได้เลิกกินขนมจุบจิบระหว่างมื้อ และได้อาหารพอดีกับความต้องการของร่างกาย                                                                                                                                                    

             
     4. ทานผักหรือผลไม้ทุกวัน จะได้ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร
     

              5. เลิกทานน้ำอัดลม เพราะเป็นแหล่งรวมน้ำตาล ที่ทำให้รูปร่างของคุณอวบอ้วนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
     
              6. เลี่ยงอาหารขยะ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพและเต็มไปด้วยไขมัน
     
              7. อยู่กับเพื่อน ๆ ที่สนับสนุนให้คุณทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แทนที่จะเป็นกลุ่มเพื่อนที่ชวนคุณทานอาหารขยะ
     
              8. กาแฟใส่นมหรือเครื่องดื่มจำพวกค็อกเทลนั้น ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มได้มากพอ ๆ กับอาหารสักมื้อเลยทีเดียว ดังนั้นควรระมัดระวังในการเลือกเครื่องดื่มระหว่างมื้อด้วย

             
     9. แม้คุณจะเกลียดการออกกำลังกาย แต่ก็ควรบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายทุกวัน เพื่อให้รูปร่างกระชับสมส่วน
     

              10. เครื่องชั่งน้ำหนักไม่ใช่ตัวบอกผลที่ถูกต้อง 100% เสมอไป เพราะบางครั้ง คุณอาจมีน้ำหนักเท่าเดิม แต่มีรูปร่างที่กระชับขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงไขมันบางส่วนเป็นกล้ามเนื้อได้บ้างแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้น ให้วัดว่าคุณผอมลงแค่ไหน จากไซส์เสื้อผ้าที่ใส่ จะแม่นยำกว่าการชั่งน้ำหนักมาก
     
              11. จำไว้ว่าความเสียดายเป็นบ่อเกิดของความอ้วน หากคุณรู้สึกอิ่มมากแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานให้หมดจานก็ได้
     
              12. การงดคาร์โบรไฮเดรตจากอาหารจำพวกแป้งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเสมอไป คุณควรทานอาหารพวกนี้น้อย ๆ แต่ก็ควรทานทุกมื้อ เพราะไม่ว่าอย่างไร ร่างกายของคุณก็ยังต้องการสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่

             
     13. หันมาทำอาหารทานเอง เพื่อจะได้กะปริมาณได้พอดี แล้วจะได้ดัดแปลงใช้แต่ส่วนผสมแบบที่เหมาะกับการลดความอ้วน
     

              14. หาคนไดเอทเป็นเพื่อน อาจเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือแฟนของคุณก็ได้ จะทำให้คุณรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น แถมยังมีคนคอยเตือนให้คุณทำตามแผนไดเอทตลอดเวลาอีกด้วย
     
              15. สร้างแรงบันดาลใจด้วยการคิดไว้ว่าคุณไดเอทครั้งนี้เพื่ออะไร เช่นเพื่อให้สามารถใส่ชุดสวยตัวเดิมเมื่อหลายปีก่อนได้อีกครั้ง หรือเพื่อเป็นแบบอย่างในการมีสุขภาพที่ดีแก่ครอบครัว
     
              16. เวลาไปจ่ายตลาด ควรเดินในโซนของสดเพื่อซื้อกลับไปทานอาหารทานเองเท่านั้น อย่าเดินไปในบริเวณอาหารขยะหรืออาหารสำเร็จรูปให้คุณรู้สึกหวั่นไหวเด็ดขาด

             
     17. ให้รางวัลความพยายามของตัวเองเพื่อให้คุณรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น ด้วยการซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่หรือของอื่น ๆ ที่คุณอยากได้ แต่อย่าให้รางวัลตัวเองเป็นอาหารมื้อใหญ่เด็ดขาด เพราะจะเป็นการลงโทษตัวเอง ด้วยการทำลายความพยายามในการไดเอทที่ผ่านมาเสียมากกว่า
     
              18. หันมาทานขนมปังโฮลเกรนซึ่งมีไฟเบอร์มากกว่าแทนขนมปังขาว จะช่วยในการลดน้ำหนักมากขึ้น
     
              19. เลี่ยงการใช้ยาลดความอ้วน เพราะอาจเป็นอันตรายถึงสุขภาพ แถมยังไม่สามารถช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ในระยะยาวอีกด้วย
     
              20. ลองหาเครื่องมือเช็คแคลอรี่ที่คุณทานและที่คุณเผาผลาญต่อวันมาใช้ ผ่านการโหลดแอพพลิเคชั่นหรือเข้าอินเทอร์เน็ต เพื่อคำนวณความสมดุลในการใช้พลังงานต่อวันของคุณดู จะได้ทานอาหารและออกกำลังกายได้เหมาะสมมากขึ้น 

         

    ที่มา  http://health.kapook.com/view40449.html